รายงานผลการวิจัยในชั้นเรียน
เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น
นักศึกษา แผนก วิชาการโรงแรม อุตสาหกรรมท่องเที่ยว
รหัสวิชา 2700 - 1001
กรณีศึกษานักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ
(ปวช.) ชั้นปีที่ 1
โดย
นายประดิษฐ์ พันคลัง
ตำแหน่ง ครูพิเศษสอน
ภาคเรียนที่ 2 ประจำปีการศึกษา 2560
แผนกวิชาการโรงแรมแรม วิทยาลัยการอาชีพศรีสะเกษ
สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา
กิตติกรรมประกาศ
การจัดทำวิจัยฉบับนี้ได้รับความร่วมมือและความช่วยเหลือเป็นอย่างดีจากอาจารย์ที่ปรึกษาแผนก การโรงแรม และคณะครูอาจารย์ผู้สอนในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ
(ปวช.) ชั้นปีที่ 1
ทุกท่าน ขอขอบคุณเจ้าของเอกสาร บทความ ทฤษฎี งานวิจัยต่างๆ
และแผนกวิชาการบัญชีที่ให้ความช่วยเหลือในการค้นคว้าเอกสาร อ้างอิง
พร้อมทั้งนักศึกษาแผนกวิชาการโรงแรม ที่ให้ความร่วมมือในการจัดทำวิจัยในครั้งนี้หากผิดพลาดประการใดผู้จัดทำพร้อมที่จะรับฟังคำแนะนำเพื่อนำไปพัฒนางานและพัฒนาตนเองต่อไป
นายประดิษฐ์ พันคลัง
20
กุมภาพันธ์ 2561
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นของนักศึกษา
ชั้นปีที่ 3 โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือ ในวิชา
การตลาดเพื่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว ระหว่างเรียนผู้วิจัยให้นักศึกษาทำแบบทดสอบก่อนและหลังเรียน
ประเมินการปฏิบัติการทดลองและการนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน ทำแบบทดสอบย่อยในแต่ละหัวข้อ
สัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ นักศึกษาประเมินตนเองและเพื่อนในการทำงานเป็นกลุ่ม และทำสังคมมิติเกี่ยวกับการทำงานกลุ่มก่อนและหลังการเรียนแบบร่วมมือ
ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาที่มีคะแนนหลังเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 50 มีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 8 คนเป็น 43 คน แตกต่างจากคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นักเรียนมีทักษะปฏิบัติการ ทักษะการนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน และมีคะแนนทดสอบท้ายคาบเรียนที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นักศึกษาส่วนใหญ่พอใจกับการสอนรูปแบบนี้ มีการช่วยเหลือกลุ่ม ความรับผิดชอบ การแสดงความคิดเห็น
การรับฟังความคิดเห็นหลังการเรียนแบบร่วมมือโดยเฉลี่ยสูงขึ้นและนักศึกษามีความสัมพันธ์ภายในห้องเรียนเพิ่มขึ้น
บทที่
1
บทนำ
หลักการและเหตุผล
จากการจัดการเรียนการสอนที่ผ่านมาของรายวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
พบว่าเมื่อให้นักศึกษาจัดกลุ่มกลุ่มละ 5 คน นักศึกษาจะเลือกอยู่กลุ่มเดียวกับเพื่อนที่ตนเองสนิท ขาดปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนคนอื่นๆในห้อง
เมื่อมอบหมายงานให้นักศึกษาแต่ละกลุ่มทำงาน พบว่านักศึกษา ขาดการวางแผนการทำงาน นักศึกษาบางคนจึงไม่ทราบบทบาทและหน้าที่ของตนอย่างชัดเจน
ภาระงานจึงตกอยู่ที่นักศึกษาบางคนในกลุ่มเท่านั้น ทำให้ส่งงานไม่ทันตามกำหนด และผลงานยังมีข้อบกพร่อง
แต่เมื่อมอบหมาย
งานให้นักศึกษาทำคนเดียว ผลงานของนักศึกษาส่วนใหญ่ จะมีข้อบกพร่องน้อยกว่าผลงานของกลุ่มแสดงให้เห็นว่านักศึกษายังขาดพฤติกรรมการทำงานร่วมกับผู้อื่นซึ่งทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาต่ำกว่าที่ควรจะได้รับการเรียนแบบร่วมมือ
(Cooperative Learning) เป็นวิธีเรียนที่ช่วยให้นักศึกษาได้มีการพึ่งพาอาศัยกัน
ทำให้นักศึกษามีสัมพันธภาพอันดีกับผู้อื่น มีการปรึกษากันอย่างใกล้ชิด สมาชิกแต่ละคนทราบบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบของตน
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนประเมินการทำงานของสมาชิกในกลุ่ม ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และหาทางปรับปรุงวิธีการทำงานของกลุ่มให้ดีขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน
(วรรณทิพา, 2538; Johnson, Johnson and Hobulec, 1991;
Slavin, 1995)
นอกจากนี้การเรียนแบบร่วมมือยังเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงความสามารถของตนอย่างเต็มที่
สมาชิกที่อ่อนในกลุ่มจะได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนสมาชิกในกลุ่ม เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จร่วมกันและพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนให้สูงขึ้นได้ (ดาวคลี่, 2543; แพรวพรรณ์,
2544; Back,1993 อ้างถึงใน
สุวิมล, 2542; Theodora De Baz, 2001 )
วัตถุประสงค์
เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นของนักศึกษา ชั้นปีที่ 3 โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือในวิชาการตลาดเพื่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว
ขอบเขตของการวิจัย
1. กลุ่มที่ศึกษาเป็นนักศึกษา ชั้นปีที่ 3 โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือในวิชาการตลาดเพื่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว
2. ตัวแปรที่ศึกษาประกอบด้วย ตัวแปรต้น
คือ การเรียนแบบร่วมมือ ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น
นิยามศัพท์
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถในการเรียนของนักศึกษา
ในวิชาการตลาดเพื่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งวัดได้จากคะแนนจากการทำแบบทดสอบก่อนและหลังเรียน
แบบทดสอบย่อยในแต่ละหัวข้อ แบบประเมินการปฏิบัติการทดลอง และแบบประเมินการนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน
ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ หมายถึง
พฤติกรรมการเรียนในการทำงานกลุ่ม ได้แก่
การช่วยเหลือกลุ่ม มีความรับผิดชอบ การแสดงความคิดเห็น
รับฟังความคิดเห็น และสามารถระบุบทบาทหน้าที่ของตนเองในการทำงานร่วมกับเพื่อนในกลุ่มได้
ตั้งแต่วางแผนการทำงาน การดำเนินตามแผนที่วางไว้ ตลอดจนการนำเสนอผลงาน ซึ่งสามารถตรวจสอบได้
โดยการสัมภาษณ์ แบบประเมินตนเองและเพื่อนในกลุ่มในการทำงานเป็นกลุ่ม และแผนภาพสังคมมิติ
การเรียนแบบร่วมมือ หมายถึง วิธีการเรียนที่ส่งเสริมนักเรียนได้ร่วมมือกันในการเรียนเพื่อช่วยให้เกิดการเรียนรู้และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข
โดยเน้นรูปแบบการต่อบทเรียน (Jigsaw) และการศึกษาค้นคว้าเป็นกลุ่ม (Group Investigation) ที่มีการประเมินทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ
โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมินด้วย
บทที่ 2
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ผู้ศึกษาค้นคว้าได้ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาค้นคว้าโดย เรียงลำดับตามหัวข้อดังต่อไปนี้
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือแบบจิกซอว์
ประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
1 งานวิจัยภายในประเทศ
2 งานวิจัยต่างประเทศ
การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือ
1.
ความหมายการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือ (Co-operative
Learning)
อารี สัณหฉวี (2543 : 33) กล่าวว่า
การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือ หมายถึงเป็นวิธีการเรียนที่ให้นักเรียน
ทำงานด้วยกันเป็นกลุ่มเล็ก
ๆ เพื่อให้เกิดผลการเรียนรู้ทั้งทางด้านความรู้และทางด้านจิตใจ ช่วยให้
นักเรียนเห็นด้านจิตใจคุณค่าในความแตกต่างระหว่างบุคคลของเพื่อนๆ
เคารพความคิดเห็นและความ
สามารถของผู้อื่นที่แตกต่างจากตนตลอดจนรู้จักช่วยเหลือและสนับสนุนเพื่อน
ๆ
สลาวิน (พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์. 2544 : 6 ; อ้างอิงมาจาก Slavin. 1977 : 3) กล่าวว่า การ
เรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือ
หมายถึง วิธีการสอนอีกแบบหนึ่ง ซึ่งกำหนดให้นักเรียนที่มีความสามารถ
แตกต่างกันทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ
โดยปกติจะมี 4 คน
เป็นนักเรียนที่เรียนเก่ง 1 คน เรียน
ปานกลาง 2 คน และเรียนอ่อน 1 คน
การทดสอบของนักเรียนจะแบ่งออกเป็น 2 ตอน ตอนแรกจะ
พิจารณาค่าเฉลี่ยของทั้งกลุ่มตอนที่ 2 จะพิจารณาคะแนนทดสอบเป็นรายบุคคลโดยการทดสอบ
นักเรียนต่างคนต่างทำแต่เวลาเรียนต้องเรียนร่วมกัน
รับผิดชอบงานของกลุ่มร่วมกัน โดยที่กลุ่มจะ
ประสบผลสำเร็จได้
เมื่อสมาชิกทุกคนได้เรียนรู้ บรรลุตามจุดมุ่งหมาย เช่นเดียวกัน
มานพ ประธรรมสาร (2546 : 10) กล่าวว่า การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือ
คือการทำงาน
ร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายที่มีอยู่ด้วยกัน
ภายในกิจกรรมที่ร่วมทำนี้ แต่ละคนจะแสวงหาผลลัพธ์ที่เป็น
ประโยชน์ต่อตนเองและเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกคนอื่น
ๆในกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ ใช้ในการ
สอนกลุ่ม เล็ก ๆ
ให้ทำงานร่วมกันตามที่ได้รับมอบหมายจนกระทั่งสมาชิกในกลุ่มทุกคนมีความเข้าใจ
ถูกต้องและทำงานจนเสร็จสมบูรณ์
สมาชิกทุกคนในกลุ่มได้รับประโยชน์จากความพยายามร่วมกัน
สมบัติ กาญจนารักพงค์ (2547 : 5) กล่าวว่า การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือเป็นการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนร่วมมือและช่วยเหลือกันในการเรียนรู้
โดยแบ่งนักเรียนออกเป็น
กลุ่มเล็กๆ 4 - 5 คน
ที่มีความสามารถแตกต่างกันทำงานร่วมกันเพื่อเป้าหมายกลุ่มสมาชิกมีปฏิสัมพันธ์
ส่งเสริมซึ่งกันและกันรับผิดชอบร่วมกันทั้งในส่วนตนและส่วนรวม
ผลงานของกลุ่มขึ้นอยู่กับผลงาน
ของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม
ความสำเร็จของแต่ละคนคือความสำเร็จของกลุ่ม
จากการศึกษาความหมายการเรียนแบบร่วมมือ
สามารถสรุปได้ว่าการจัดการเรียนรู้ด้วยกลุ่ม
ร่วมมือกันเรียนรู้
หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนใช้ความสามารถเฉพาะตัว
ในการร่วมมือกันแก้ปัญหาต่างๆ
นักเรียนรู้จักวิธีการทำงานกลุ่มการช่วยเหลือซึ่งกันและกันตลอดจน
มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายโดยสมาชิกในกลุ่มตระหนักว่าแต่ละคน
เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม
2.
หลักการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือ
2.1 การทำงานเป็นชีวิตจริงเป็นการทำงานร่วมกับผู้อื่น
ผู้เรียนจึงควรได้ฝึกการทำงาน
แบบร่วมมือเพื่อเป็นการเตรียมผู้เรียนได้รู้จักการทำงานร่วมกับผู้อื่น
2.2
การทำงานเป็นทีมเป็นลักษณะหนึ่งของการทำงานของนักวิทยาศาสตร์
2.3
การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนสอนทุกคนและต้องลงมือทำงานกับเพื่อนสมาชิกอย่างจริงจัง
จึงเป็นการสนับสนุนให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางวิธีหนึ่ง
2.4
การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมืออาจจัดเป็นกิจกรรมการเรียนการสอนประกอบหรือเป็นกิจกรรมย่อยของวิธีสอนสังคมศึกษาแบบต่างๆ
ได้อย่างดี
3.
หน้าที่ครูของผู้สอน
3.1
จัดผู้เรียนให้มีสมาชิกแตกต่างกัน กลุ่มละประมาณ 3 – 5 คน
3.2 ทบทวนบทบาทการทำงานกลุ่ม
หน้าที่ของสมาชิก การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
3.3 ชี้แจงวัตถุประสงค์ในการเรียนให้เข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับเนื้อหาในบทเรียนที่ต้องศึกษา
3.4 ให้ความร่วมมือกลุ่มในการทำงาน
3.5 ประเมินผล
4.
ขั้นตอนการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือ
4.1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
ใช้เวลาประมาณ 8 – 15 นาที
เพื่อทบทวนเรื่องที่มาเรียนแล้วและทบทวนบทบาทสมาชิกภายในกลุ่ม
4.2 ขั้นการทำงานกลุ่ม ใช้เวลา 25 – 30 นาที
เป็นขั้นที่ครูแจกอุปกรณ์หรือสื่อการเรียน
ผู้เรียนปฏิบัติตามบทบาทที่ได้รับมอบหมาย ใช้เวลา 25 – 30 นาที เป็นขั้นที่ครู แจกอุปกรณ์หรือสื่อการเรียน
ผู้เรียนปฏิบัติตามบทบาทที่ได้รับมอบหมาย
4.3 ขั้นระดมสมอง ใช้เวลา 10 – 15 นาที เป็นการเสนอผลงาน
เสนอแนะร่วมกันทั้งห้อง ให้แต่ละกลุ่มได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น
โดยครูคอยถามให้ผู้เรียนเสนอความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่และทั่วถึง
5.
การประเมิน
5.1
การเสนอผลงานของผู้เรียนด้วยวิธีต่าง ๆ
5.2 การทดสอบ
5.3 การสังเกตการณ์ทำงานของผู้เรียนแต่ละกลุ่ม
5.4
การแสดงความคิดเห็นของผู้เรียนในชั้นระดมสมอง
6.
ข้อคำนึงถึงในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือ
ครูควรคำนึงถึงกิจกรรมที่เอื้อต่อผู้เรียนให้มีบทบาทในการเรียน มีส่วนร่วมในกิจกรรม
6.1
เป็นกิจกรรมที่เอื้อต่อการที่จะให้ผู้เรียนมีบทบาทในการเรียน
มีส่วนร่วมในกิจกรรมได้มากและทั่วถึง
6.2
เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ข้อมูลและเรียนรู้จากคนอื่นๆ ในกลุ่ม
6.3 เป็นกิจกรรมที่ต้องช่วยให้ผู้เรียนสามารถพบคำตอบด้วยตนเอง
6.4 เป็นกิจกรรมที่ต้องให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการทำงานร่วมกัน
ควบคู่กับผลงานที่ทำ
6.5 เป็นกิจกรรมที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารรถนำไปใช้ได้จริง
7.
ประโยชน์ของการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือ
7.1 บรรยากาศในการเรียนจะมีความเป็นกันเองมากขึ้น
ผู้เรียนจะรู้สึกปลอดภัย
7.2 สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เรียน เพระสมาชิกทุกคนภายในกลุ่มรู้สึกว่าตนเอง
มีความสำคัญต่อกลุ่มเท่ากัน
ความเชื่อมั่นในตนเองก็จะถูกกระตุ้นให้เพิ่มมากขึ้น และช่วยแก้นิสัย ขี้อายกับผู้เรียนบางคน
7.3 ฝึกความมีระเบียบวินัย
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือแบบจิกซอว์
1. ความหมายของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิกซอว์
การจัดกิจกรรมการเรียนการเรียนรู้แบบจิกซอว์
เป็นรูปแบบหนึ่งของการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือ
ซึ่งนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายไว้ดังนี้
อรอนสัน (นาตยา ปิลันธนานนท์. 2537 : 209 - 210 ; อ้างอิงจาก Aronson. 1978 : abstract) ได้กล่าวถึงความหมายการเรียนด้วยกลุ่มร่วมมือแบบจิกซอว์
ไว้ว่า เป็นแนวทางกิจกรรม
โดยเอาแนวคิดการต่อภาพจิกซอว์ มาใช้
โดยผู้สอนแบ่งนักเรียนในห้องออกเป็นกลุ่มๆละ 5 - 6 คน แต่ละกลุ่มให้มีสมาชิกเท่ากันทุกกลุ่ม
และสมาชิกกลุ่มมีความสามารถคละกัน ผู้สอนจะกำหนดงานแยกเป็นส่วน ๆ
เท่ากับจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ของแต่ละกลุ่ม ให้สมาชิกแต่ละคนทำงาน ของตนไป
สลาวิน (Slavin. 1995 : 26) ได้กล่าวถึงความหมายไว้ว่า
การเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ ได้รับการพัฒนาโดย อรอนสัน (Aronson) ซึ่งมีลักษณะคล้ายจิกซอว์ 2 แต่มีลักษณะแตกต่างกันที่สำคัญหลายอย่างด้วยกันทั้งนี้
วิธีสอนโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ นักเรียนจะได้อ่านเนื้อหาที่แตกต่างกันไปจากเพื่อน ๆ
ในกลุ่มทั้งนี้การเรียนแบบจิกซอว์ เนื้อหาที่ใช้ศึกษาจะถูกเขียนเรียบเรียงเป็นบทย่อย
ๆ ขึ้นใหม่เพื่อให้ เข้าใจง่าย ซึ่งตรงข้ามกับจิกซอว์ 2 ซึ่งเนื้อหาที่ใช้ศึกษามีความสัมพันธ์กันไม่ถูกแบ่งออกเป็นเนื้อหาย่อย
ๆ
สุมณฑา พรหมบุญ (2540 : 70 - 71) ได้กล่าวถึงการเรียนด้วยกลุ่มร่วมมือแบบจิกซอว์(Jigsaw) ไว้ว่า
เป็นกิจกรรมที่ครูมอบหมายให้สมาชิกในกลุ่มย่อยแต่ละกลุ่มศึกษาเนื้อหาในบทเรียนหรือเอกสารที่กำหนดให้
สมาชิกแต่ละคนจะถูกกำหนดให้ศึกษาเนื้อหาคนละตอนแตกต่างกันคนเรียนเร็วและอ่านเร็วอาจจัดให้ศึกษาเนื้อหามากกว่าคนเรียนช้า
อ่านช้านักเรียนที่ศึกษาหัวข้อเดียวกันจากทุก ๆ กลุ่มจะร่วมกันเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
หลังจากที่ทุกคนศึกษาเนื้อหาจนเข้าใจ
และร่วมกันคิดหาวิธีอธิบายให้เพื่อนนักเรียนในกลุ่มประจำของตนฟังแล้ว
นักเรียนแต่ละคนจะกลับมายังกลุ่มประจำของตน
สมาชิกที่ได้รับมอบหมายให้ศึกษาหน้าต้นๆหรือโจทย์ข้อแรกจะเป็นคนเล่าเรื่องที่ตนศึกษา
ให้สมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มฟัง
ทำเช่นเดียวกันนี้โดยการเรียงลำดับไปจนถึงหน้าสุดท้ายหรือโจทย์ ข้อสุดท้าย
จึงขอให้สมาชิกคนใดคนหนึ่งสรุปเนื้อหาของสมาชิกทุกคนเข้าด้วยกันครูควรทดสอบความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียนในช่วงสุดท้ายของการเรียนและให้รางวัล
ไสว
ฟักขาว (2542 : 135) กล่าวถึงการสอนโดยแบบจิกซอว์ไว้ว่า เป็นการสอนที่อาศัยแนวคิดการต่อภาพ ผู้เสนอวิธีนี้เป็นคนแรกคือ Elliot
Aronson และคณะ
ต่อมามีการปรับและเพิ่มเติมขั้นตอน
แต่วิธีหลักยังคงเดิม
การสอนแบบนี้นักเรียนแต่ละคนจะได้ศึกษาเพียงส่วนหนึ่ง
หรือหัวข้อย่อยของเนื้อหาทั้งหมด โดยการศึกษาเรื่องนั้น
ๆ จากเอกสารหรือกิจกรรมที่ครูจัดให้
ในตอน ที่ศึกษาหัวย่อยนั้น
นักเรียนจะทำงานเป็นกลุ่มกับเพื่อนที่ได้รับมอบหมายให้ศึกษาใน หัวข้อย่อยเดียวกัน
และเตรียมพร้อมที่จะกลับไปอธิบายหรือสอนเพื่อนสมาชิกในกลุ่มพื้นฐานของตนเอง
สมศักดิ์ ภู่วิภาดาวรรธน์ (2544 : 21) กล่าวถึงวิธีการติดต่อภาพ
ไว้ว่า วิธีนี้คิดขึ้นโดย Elliot
Aronson และคณะ เป็นวิธีง่ายๆ
เพื่อให้ผู้เรียนรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ตนมีต่อกลุ่ม โดยการแต่งตั้งให้ผู้เรียนแต่ละคนเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” (Expert) ในแต่ละสาขา ที่มอบหมายและ
“ผู้เชี่ยวชาญ” นั้นต้องมาสอนคนอื่น ๆ
ในทีมในเรื่องที่ตนรู้
วัฒนาพร ระงับทุกข์
(2545 : 176) ได้อธิบายถึง ปริศนาความคิดไว้ว่า
เป็นเทคนิคที่พัฒนาขึ้นเพื่อส่งเสริมความร่วมมือ และการถ่ายทอดความรู้ระหว่างเพื่อนในกลุ่ม เทคนิคนี้ใช้กันมากในรายวิชาที่ผู้เรียนต้องเรียนเนื้อหาวิชาจากตำราเรียน
(เช่น สังคมศึกษา
ภาษาไทย)
สุวิทย์
มูลคำ และอรทัย มูลคำ (2545 : 177
- 181) กล่าวว่า
การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคจิกซอว์
เป็นการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ใช้แนวคิดการต่อภาพ โดยแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่ม
ทุกกลุ่มจะได้รับมอบหมายให้ทำกิจกรรมเดียวกัน
ผู้สอนจะแบ่งเนื้อหาของเรื่องที่จะให้เรียนรู้ออกเป็นหัวข้อย่อย เท่ากับจำนวนสมาชิกแต่ละกลุ่ม และมอบหมายให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มศึกษา ค้นคว้าคนละหัวข้อ ซึ่งผู้เรียนแต่ละคนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องที่ตนได้รับมอบหมายให้ศึกษาจากกลุ่ม
สมาชิกต่างกลุ่มที่ได้รับมอบหมายในหัวข้อเดียวกันก็จะทำการศึกษาค้นคว้าร่วมกัน
จากนั้นผู้เรียนแต่ละคนจะกลับเข้ากลุ่มเดิมของตนเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญอธิบายความรู้ เนื้อหาสาระ
ที่ตนศึกษาให้เพื่อนร่วมกลุ่มฟัง
เพื่อให้เพื่อนสมาชิกทั้งกลุ่มได้รู้เนื้อหาสาระครบทุกหัวข้อย่อยและเกิดการเรียนรู้เนื้อหาสาระทั้งเรื่อง
จากการศึกษาความหมายของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือแบบจิกซอว์
สรุปได้ว่าเป็นการจัดให้ผู้เรียนที่มีความสามารถแตกต่างกัน กลุ่มละ 3 - 5 คน เรียนรู้ร่วมกัน
โดยครูแบ่งบทเรียนออกเป็นเรื่องย่อย ๆ เท่ากับจำนวนสมาชิกของแต่ละกลุ่ม
สมาชิกแต่ละกลุ่มแบ่งหัวข้อ
ในการศึกษาคนละหัวข้อ
แล้วให้สมาชิกที่ศึกษาหัวข้อเดียวกันของทุกกลุ่มไปศึกษาและอภิปราย
ร่วมกันจนเกิดความเข้าใจดีแล้ว จึงกลับไปรายงานผลให้สมาชิกในกลุ่มฟังทีละหัวข้อจนครบถ้วน
เมื่อจบบทเรียนครูจะทำการทดสอบความรู้
และให้รางวัลเป็นการเสริมแรง
2.
วัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิกซอว์
การจัดการเรียนการสอนทุกรูปแบบการสอน
จะต้องมีวัตถุประสงค์ว่าจัดกิจกรรมขึ้นมาเพื่ออะไร ได้มีนักวิชาการได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนการสอนแบบจิกซอว์ ดังนี้
ณัฐวุฒิ กิจรุ่งเรือง (2545 : 34) กล่าวว่า การสอนแบบจิกซอว์
เป็นเทคนิคที่พัฒนาขึ้นเพื่อส่งเสริมความร่วมมือและการถ่ายทอดความรู้ระหว่างเพื่อนในกลุ่ม นิยมใช้การสอนแบบนี้ ในรายวิชาที่ผู้เรียนต้องเรียนเนื้อหาวิชาจากตำราเรียน เช่น
สังคมศึกษา ภาษาไทย
สุวิทย์ มูลคำ
และอรทัย มูลคำ (2545 : 177) กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดกิจกรรมเรียนการสอนโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ไว้
2 ข้อคือ
1. เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง
2. เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนฝึกทักษะกระบวนการทางสังคม และความรับผิดชอบ
จากวัตถุประสงค์ที่กล่าวมานั้น สรุปได้ว่า
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิกซอว์
เป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม นักเรียนได้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่กัน และมีความรับผิดชอบในการทำงานร่วมกัน
3. องค์ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิกซอว์
นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงองค์ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิกซอว์ ดังนี้
ไสว
ฟักขาว (2542 : 135) กล่าวว่า องค์ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิกซอว์ มีดังนี้
1.
การเตรียมสื่อการเรียนการสอน (Preparation of Materials) ครูสร้างใบงานให้
ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนของกลุ่ม และสร้างแบบทดสอบย่อยในแต่ละหน่วยการเรียน
แต่ถ้ามีหนังสือเรียนอยู่แล้วยิ่งทำให้ง่ายขึ้นได้ โดยแบ่งเนื้อหาในแต่ละหัวข้อเรื่องที่จะสอนเพื่อทำใบงานสำหรับผู้เชี่ยวชาญ ในใบงานควรบอกว่านักเรียนต้องทำอะไร เช่น
ให้อ่านหนังสือหน้าอะไร
อ่านหัวข้ออะไร
จากหนังสือหน้าไหนถึงหน้าไหน
หรือให้ดูวีดิทัศน์
หรือให้ลงมือปฏิบัติการทดลอง
พร้อมกับมีคำถามให้ตอบตอนท้ายของกิจกรรมที่ทำด้วย
2. การจัดสมาชิกของกลุ่มและของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
(Teams and Expert Groups) ครูจะแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ (Home Group) แต่ละกลุ่มจะมีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่องตามใบงาน
ของตนก่อนที่จะแยกไปตามกลุ่มของผู้เชี่ยวชาญ (Expert Groups) เพื่อทำงานตาม ใบงานนั้นๆ เมื่อนักเรียนพร้อมที่จะทำกิจกรรม ครูแยกกลุ่มนักเรียนใหม่ตามใบงาน กิจกรรมในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญแต่ละกลุ่มอาจแตกต่างกัน
ครูพยายามกระตุ้นให้นักเรียนศึกษาหัวข้อตามใบงานที่แตกต่างกัน
ดังนั้นใบงานที่ครูสร้างขึ้นจึงมีความสำคัญมาก เพราะในใบงานจะนำเสนอด้วยกิจกรรมที่แตกต่างกัน
ซึ่งผู้เชี่ยวชาญในแต่ละกลุ่มอาจจะลงมือปฏิบัติการทดลอง ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่ได้รับมอบหมาย พร้อมกับเตรียมการนำเสนอสิ่งนั้นๆอย่างสั้นๆ
เพื่อว่าเขาจะได้นำกลับไปสอนสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มที่ไม่ได้ศึกษาในหัวข้อดังกล่าว
3. การรายงานและการทดสอบย่อย
(Reports and Quizzes) เมื่อกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
แต่ละกลุ่มทำงานเสร็จแล้ว
ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนก็จะกลับไปยังกลุ่มเดิมของตัวเอง (Home Groups) แล้วสอนเรื่องที่ตัวเองทำให้กับสมาชิกคนอื่นๆ
ในกลุ่ม ครูกระตุ้นให้นักเรียนใช้วิธีการต่างๆ
ในการนำเสนอสิ่งที่จะสอน
นักเรียนอาจใช้วิธีการสาธิต
อ่านรายงาน ใช้คอมพิวเตอร์ รูปถ่ายไดอะแกรม แผนภูมิหรือภาพวาดในการนำเสนอความคิดเห็น ครูกระตุ้นให้สมาชิก ในกลุ่มได้มีการอภิปรายและซักถามปัญหาต่างๆ
โดยที่สมาชิกแต่ละคนต้องมีความรับผิดชอบในการเรียนรู้แต่ละเรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนนำเสนอ
เมื่อผู้เชี่ยวชาญได้รายงานผลงานกับกลุ่มของตัวเองแล้ว
ควรมีการอภิปรายร่วมกันทั้งห้องเรียนอีกครั้งหนึ่ง หรือมีการถามคำถาม และตอบคำถามในหัวข้อเรื่องที่เชี่ยวชาญแต่ละคน ได้ศึกษา หลังจากนั้นครูก็ทำการทดสอบ
สุวิทย์ มูลคำ
และอรทัย มูลคำ (2545 : 178) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคจิกซอว์ มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วน คือ
1. การเตรียมสื่อการเรียนรู้
ผู้สอนจะต้องเตรียมใบงาน ใบความรู้
สื่อการเรียนรู้อื่น ๆ สำหรับผู้เชี่ยวชาญแต่ละกลุ่ม และสร้างแบบทดสอบย่อยในในแต่ละหน่วยการเรียน
2. การจัดสมาชิกของกลุ่ม
ผู้สอนจะต้องแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มๆ เรียกว่า “กลุ่มพื้นฐาน” (Home Groups) แต่ละกลุ่มจะมีผู้เชี่ยวชาญ
แต่ละเรื่องตามใบงานที่ผู้สอนสร้างขึ้น
3. การรายงานและทดสอบย่อย
เมื่อผู้เชี่ยวชาญกลับเข้ากลุ่มตัวเองและสอนเรื่องที่ตนเองได้เรียนรู้มาสอนหรือรายงานให้กับสมาชิกในกลุ่มแล้ว
ควรมีการอภิปรายกันทั้งห้องเรียนอีกครั้งหรือมีการถาม–ตอบในหัวข้อเรื่องที่เรียนรู้
หลังจากนั้นผู้สอนทำการทดสอบย่อยและประเมินให้คะแนน
จากที่กล่าวมานั้นสรุปได้ว่า
องค์ประกอบของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิกซอว์นั้น ครูผู้สอนจะต้องเตรียมสื่อต่างๆ
ให้สอดคล้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เพียงพอ และแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มๆ
โดยแต่ละกลุ่มจะมีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่องตามใบงานของตนก่อนที่จะแยกไปตามกลุ่มของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทำงานตาม ใบงานนั้นๆ
แล้วจะได้นำความรู้ที่ได้กลับไปสอนสมาชิกคนอื่นๆ
ในกลุ่มที่ไม่ได้ศึกษาในหัวข้อดังกล่าว
เมื่อทำกิจกรรมเสร็จแล้วประเมินผลโดยการทดสอบย่อย
4. ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิกซอว์
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิกซอว์มีหลายขั้นตอน ซึ่งนักวิชาการได้กล่าวถึงขั้นตอนดังต่อไปนี้
กรมสามัญศึกษา (2540 : 42 - 43) ได้เสนอขั้นตอนในการดำเนินการการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือ แบบจิกซอว์ ดังนี้
1. ครูแบ่งหัวข้อที่จะเรียนเป็นหัวข้อย่อยๆให้เท่ากับจำนวนสมาชิกของแต่ละกลุ่ม
2.
จัดกลุ่มนักเรียนกลุ่มละประมาณ 4 คน
โดยให้สมาชิกของกลุ่มมีความสามารถคละกัน กลุ่มนี้เรียกว่า กลุ่มประจำ
3.
มอบหมายให้สมาชิกแต่ละคน
อ่าน/ศึกษาหัวข้อย่อยที่จัดแบ่งไว้ เช่น ในกลุ่ม A มี
สมาชิกเป็นจำนวน A1, A2 , A3 และ A4
นักเรียน A1 อ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 1
นักเรียน A2 อ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 2
นักเรียน A3 อ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 3
นักเรียน A4 อ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 4
กลุ่มอื่นๆ
ที่เหลือก็ดำเนินการมอบหมายรับผิดชอบในลักษณะเดียวกัน
4.
ให้นักเรียนที่อ่านหัวข้อ/หัวเรื่องเดียวกัน
แยกออกมารวมกันเป็นกลุ่มชั่วคราว
เพื่ออภิปราย
ซักถามและทำกิจกรรมร่วมกันให้เกิดความรอบรู้ในหัวข้อเรื่องนั้นๆกลุ่มใหม่นี้เราเรียกว่ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
ในกรณีนี้ถ้ามีกลุ่มประจำอยู่ 4 กลุ่ม คือ กลุ่ม A , B , C และ D
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญกลุ่มที่ 1 ก็จะประกอบด้วยสมาชิก A1 , B1 , C1 , และ D1
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญกลุ่มที่ 2 ก็จะประกอบด้วยสมาชิก A2 , B2 , C2 , และ D1 อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ
5.
มอบหมายหน้าที่ให้นักเรียนในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
เช่น
นักเรียนคนที่ 1 อ่านคำถาม/คำสั่ง/คำชี้แจง
นักเรียนคนที่ 2 จดบันทึกข้อมูลสำคัญที่กำหนดให้
และอธิบายว่ากลุ่มจะต้องทำอะไร
นักเรียนคนที่ 3 หาคำตอบ/เหตุผล/คำอธิบาย
นักเรียนคนที่ 4 สรุปทบทวนและตรวจสอบคำตอบอีกทีหนึ่ง
เมื่อนักเรียนทำแต่ละข้อ (ประเด็น) เสร็จแล้วให้นักเรียนหมุนเวียนเปลี่ยนหน้าที่กันครบทุกข้อ (ประเด็น)
6.
นักเรียนในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญแยกตัวกลับไปยังกลุ่มประจำของตน
แล้วผลัดกันอธิบายความรู้ที่ได้จากการทำกิจกรรม(ในข้อ5)ให้เพื่อนสมาชิกในกลุ่มฟังตามลำดับหัวข้อย่อย โดยเริ่มจากหัวข้อที่ง่ายและเป็นความรู้พื้นฐานก่อน
7.
นักเรียนทุกคนทำแบบทดสอบย่อย
เพื่อวัดความรู้ทุกหัวข้อย่อย (เป็นการสอบเดี่ยว)แล้วนำคะแนนของสมาชิกแต่ละคนมารวมกันเป็น คะแนนของกลุ่ม
8.
กลุ่มที่ได้คะแนนรวม (หรือค่าเฉลี่ย) สูงสุด
จะได้รับการยกย่อง ชมเชยอาจจะเขียน
ติดป้ายประกาศ ไว้ที่บอร์ดของห้อง
และบันทึกสถิติไว้เพื่อมอบรางวัลเป็นระยะๆ
กระทรวงศึกษาธิการ (2547 : 114 - 115) ได้แบ่งขั้นตอนกิจกรรมการเรียนการสอน
โดยใช้เทคนิคจิกซอว์ ดังนี้
1. ผู้สอนแบ่งหัวข้อที่จะเรียนเป็นหัวข้อย่อยเท่ากับจำนวนสมาชิกของแต่ละกลุ่ม
2. จัดกลุ่มผู้เรียนโดยให้มีความสามารถคละกันภายในกลุ่ม เป็นกลุ่มบ้าน
สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ตนได้รับมอบหมายเท่านั้น โดยใช้เวลาตามที่ผู้สอนกำหนด
3. ผู้เรียนที่อ่านหัวข้อย่อยเดียวกันมานั่งด้วยกัน เพื่อทำงาน ซักถาม และทำกิจกรรม
ซึ่งเรียกว่ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ สมาชิกทุกๆคนร่วมกันอภิปรายหรือทำงาน อย่างเท่าเทียมกัน โดยใช้เวลาตามที่ผู้สอนกำหนด
4. ผู้เรียนแต่ละคนในกลุ่มเชี่ยวชาญ กลับมายังกลุ่มบ้านของตน จากนั้นผลัดเปลี่ยนกันอภิปราย ให้เพื่อนสมาชิกในกลุ่มฟัง เริ่มจากหัวข้อย่อย 1,2,3 และ 4
5. ทำการทดสอบหัวข้อย่อย
1- 4 กับผู้เรียนทั้งห้อง คะแนนของสมาชิกแต่ละคน ในกลุ่มรวมเป็นคะแนนกลุ่ม
กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับการติดประกาศ
ทิศนา แขมมณี (2548 :
266) กล่าวถึงกระบวนการเรียนการสอนรูปแบบจิกซอว์
ดังนี้
1. จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง–กลาง–อ่อน) กลุ่มละ 4 คนและเรียก กลุ่มนี้ว่ากลุ่มบ้านของเรา
(Home Group)
2.
สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา
ได้รับมอบมายให้ศึกษาเนื้อหาสาระคนละ 1 ส่วน (เปรียบเสมือนได้ชิ้นส่วนของภาพตัดต่อคนละ 1 ชิ้น) และหาคำตอบในประเด็นปัญหาที่ผู้สอนมอบหมายให้
3. สมาชิกในกลุ่มบ้านเรา แยกย้ายไปรวมกับสมาชิกกลุ่มอื่น ซึ่งได้รับเนื้อหาเดียวกัน ตั้งเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
ขึ้นมาและร่วมกันทำความเข้าใจในสาระนั้นอย่างละเอียด
และร่วมกันอภิปรายหาคำตอบประเด็นปัญหาที่ผู้สอนมอบหมายให้
4. สมาชิกกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
กลับไปสู่กลุ่มบ้านของเรา
แต่ละคนช่วยสอนเพื่อน
ในกลุ่มให้เข้าใจในสาระที่ตนได้ศึกษาร่วมกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ เช่นนี้
สมาชิกทุกคนก็จะได้เรียนรู้ภาพรวมของสาระทั้งหมด
5. ผู้เรียนทุกคนทำแบบทดสอบ
แต่ละคนจะได้คะแนนเป็นรายบุคคล
และนำคะแนนของทุกคนในกลุ่มบ้านของเรามารวมกัน (หรือหาค่าเฉลี่ย) เป็นคะแนนกลุ่ม
กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุด
ได้รับรางวัล
ข้อดีและข้อจำกัดของการจัดการเรียนรู้แบบจิกซอว์
มีดังนี้
ข้อดี
1. ผู้เรียนมีความเอาใจใส่
รับผิดชอบตัวเองและกลุ่มร่วมกับสมาชิกอื่น
2.
ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสามารถต่างกันได้เรียนรู้ร่วมกัน
3.
ส่งเสริมให้ผู้เรียนผลัดเปลี่ยนกันเป็นผู้นำ
4.
ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกและเรียนรู้ทักษะทางสังคมโดยตรง
ข้อจำกัด
1.
ผู้เรียนขาดความเอาใจใส่และรับผิดชอบจะส่งผลให้ผลงานกลุ่มและการเรียนรู้ ไม่ประสบความสำเร็จ
2.
เป็นวิธีการที่ผู้สอนจะต้องใช้เวลาในการเตรียมการและต้องดูแล
ช่วยเหลือ
เอาใจใส่ในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างใกล้ชิด
สรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิกซอว์นั้น
ผู้สอนจะต้องเตรียมเนื้อหาไว้ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ และเรียนรู้โดยการแบ่งกลุ่มคละความสามารถ
ผู้เรียนแต่ละคนรับผิดชอบงานที่ตนเองได้รับมอบหมาย
นักเรียนที่เรียนเก่งจะช่วยเหลือนักเรียนที่เรียนอ่อนในการศึกษาหาความรู้
เพื่อให้ผลงานของกลุ่มสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้มีการทดสอบความรู้หลังเรียนคะแนนรายบุคคลรวมเป็นคะแนนของกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนมากจะได้รับรางวัล
รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิกซอว์
วิมลรัตน์
สุนทรวิโรจน์ (2551 : 24 - 25) ได้เสนอรูปแบบการเรียนรู้แบบต่อภาพมี 2 รูปแบบดังนี้
รูปแบบที่ 1 (Jigsaw I)
การเรียนรู้แบบ Jigsaw I เป็นเทคนิคที่พัฒนาขึ้นเพื่อส่งเสริมความร่วมมือและถ่ายทอดความรู้ระหว่างกลุ่ม
เป็นเทคนิคที่ใช้กันมากในรายวิชาที่ผู้เรียนต้องเรียนเนื้อหาวิชาจากตำราเรียน (เช่น สังคมศึกษา
ภาษาไทย) ขั้นตอนกิจกรรมประกอบด้วย
1. ครูแบ่งเนื้อหาที่จะเรียนออกเป็นหัวข้อย่อย ๆ
ให้เท่ากับจำนวนสมาชิกกลุ่ม
2. จัดกลุ่มผู้เรียนให้มีความสามารถคละกัน เรียนว่า “กลุ่มบ้าน” แล้วมอบหมายให้สมาชิกแต่ละคนศึกษาหัวข้อที่ต่างกัน
3.
ผู้เรียนได้รับหัวข้อเดียวกันจากแต่ละกลุ่มมานั่งด้วยกันเพื่อทำงาน
และศึกษาร่วมกันในหัวข้อดังกล่าว เรียกว่า “กลุ่มเชี่ยวชาญ”
4.
สมาชิกแต่ละคนออกจากกลุ่มเชี่ยวชาย
และกลับไปกลุ่มเดิมของตนผลัดกัน
อธิบายเพื่อถ่ายทอดความรู้ที่ตนศึกษาให้เพื่อนฟังจนครบทุกหัวข้อ
5.
ครูทดสอบเนื้อหาที่ศึกษาแล้วให้คะแนนรายบุคคล
รูปแบบที่ 2 (Jigsaw 2)
การเรียนรู้แบบ Jigsaw II เป็นเทคนิคที่พัฒนาขึ้นจากเทคนิคเดิม โดยมีจุดมุ่งหมาย
เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมช่วยเหลือกัน
และพึ่งพากันในกลุ่มมากขึ้นกระบวน Jigsaw II เหมือนเดิมทุกประการ เพียงแต่ในช่วงของการประเมินผล
ครูจะนำคะแนนทุกคนในกลุ่มมารวมกันเป็นคะแนนกลุ่ม
กลุ่มที่ได้คะแนนรวมหรือค่าเฉลี่ยสูงสุดจะติดประกาศไว้ที่ป้ายประกาศของห้อง
ผู้เรียนเข้าร่วมในวิธีการนี้จะแบ่งเป็นทีม
โดยมีสมาชิกที่คละเคล้ากัน เช่นเดียวกับทีม
ใน TGT และ STAD ผู้เรียนแต่ละคนจะได้รับมอบหมายให้อ่านเนื้อเรื่องที่กำหนดและได้รับ
“ หัวข้อสำหรับผู้เชี่ยวชาญ ” ที่ต้องการศึกษาโดยละเอียด
เมื่อผู้เรียนทุกคนอ่านเนื้อหาเนื้อเรื่องจบใน
หัวข้อเดียวกันของแต่ละกลุ่ม
จะรวมกันอภิปรายในหัวข้อนั้นโดยใช้เวลาประมาณ 30 นาทีหลังจาก
นั้น
ผู้เชี่ยวชาญก็จะกลับมายังทีมของตนเพื่ออธิบายในส่วนที่ตนรู้ให้คนอื่น ๆฟัง
และในที่สุดผู้เรียน
ทุกคนต้องตอบข้อสอบที่ออกคลุมเนื้อหาทุกหัวข้อ
คะแนนที่ผู้เรียนได้มาจะใช้รวมเป็นคะแนนของ
ทีม เช่นเดียวกับ STAD และอาจมีคะแนนพิเศษให้ผู้เรียนคนที่ทำคะแนนได้ดีเกินคาด
ดังนั้น
ผู้เรียนทุกคนต้องศึกษาในหัวข้อของตนให้ดี
เพื่อจะได้ช่วยทำให้เพื่อนในทีมทำคะแนนสอบได้ดี
หัวใจสำคัญของ Jigsaw คือ การพึ่งพาซึ่งกันและกัน
ผู้เรียนทุกคนต้องพึ่งพาความรู้จากผู้เรียนคน
อื่นๆ เพื่อจะได้ทำข้อสอบได้ดี
ขั้นตอนการดำเนินการสอนแบบ Jigsaw มีดังนี้
1. ครูแบ่งหัวข้อที่จะเรียนเป็นหัวข้อย่อย
ๆ ให้เท่ากับจำนวนสมาชิกของนักเรียน
แต่ละกลุ่ม
2. จัดกลุ่มนักเรียนกลุ่มละประมาณ 4 คน
โดยให้สมาชิกของกลุ่มมีความสามารถคละกัน กลุ่มนี้เรียก กลุ่มประจำ ( Home Groups หรือ Original Group)
3. มอบหมายให้สมาชิกแต่ละคน
อ่าน/ศึกษาหัวข้อย่อยที่จัดแบ่งให้ เช่น ในกลุ่ม A มีสมาชิก A1, A2, A3, A4
นักเรียน A1 อ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 1
นักเรียน A2 อ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 2
นักเรียน A3 อ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 3
นักเรียน A4 อ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 4
กลุ่มอื่นๆที่เหลือดำเนินการมอบหมายความรับผิดชอบในลักษณะเดียวกัน
4. ให้นักเรียนที่อ่านหัวข้อ/หัวเรื่องเดียวกัน
แยกออกมาร่วมกันเป็นกลุ่มใหม่นี้
เรียกว่า กลุ่มเชี่ยวชาญ (Expert Group หรือ Mastery Group) ในกรณีนี้ถ้ามีกลุ่มประจำอยู่ 5 กลุ่ม
คือ A, B, C, D และ E
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญกลุ่มที่ 1 ก็จะประกอบด้วยสมาชิก A1, B1,C1,D1 และ E1
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญกลุ่มที่ 2 ก็จะประกอบด้วยสมาชิก A2, B2,C2,D2 และ E2
อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ
5. มอบหมายหน้าที่ให้นักเรียนในกลุ่มเชี่ยวชาญ
เช่น
นักเรียนคนที่ 1 อ่านคำถาม/คำสั่ง/คำชี้แจง
นักเรียนคนที่ 2 จดบันทึกข้อมูลสำคัญที่กำหนดให้
และอธิบายว่ากลุ่ม
จะต้องทำอะไร
นักเรียนคนที่ 3 และ 4 ทำคำตอบ/เหตุผล/คำอธิบาย
นักเรียนคนที่ 5 สรุปทบทวนและตรวจสอบคำตอบอีกครั้ง
6. นักเรียนในกลุ่มเชี่ยวชาญ
แยกตัวกลับไปยังกลุ่มประจำของตน แล้วผลัดกันอธิบายความรู้ที่ได้จากการทำกิจกรรม (ในข้อ 5) ให้เพื่อนสมาชิกของกลุ่มฟังตามลำดับหัวข้อย่อย
โดยเริ่มจากหัวข้อที่ง่ายหรือเป็นความรู้พื้นฐานก่อน
7. นักเรียนทุกคนทำแบบทดสอบย่อย (Quiz) เพื่อวัดความรู้ทุกหัวข้อย่อย(เป็นการสอบเดี่ยว) แล้วนำคะแนนของสมาชิกแต่ละคนมาร่วมกันเป็น “คะแนนของกลุ่ม”
8. กลุ่มที่ได้คะแนนรวม (ค่าเฉลี่ย) สูงสุด จะได้รับการยกย่องชมเชย
อาจจะเขียนติดประกาศไว้ที่บอร์ดของห้อง และบันทึกสถิติไว้เพื่อมอบรางวัลเป็นระยะๆ
แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ความหมายของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
วัฒนาพร ระงับทุกข์
(2542 : 1 - 2) ได้กล่าวไว้ว่า
แผนการเรียนการสอน หมายถึง แผนการหรือโครงการที่จัดทำเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อใช้ในการปฏิบัติการสอนในรายวิชาใดวิชาหนึ่ง
เป็นการเตรียมการสอนอย่างมีระบบและเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ครูพัฒนาการจัดการเรียนการสอนไปสู่จุดประสงค์การเรียนรู้
และจุดหมายของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครูผู้สอนต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักในการจัดทำแผนการสอน
ซึ่งมีความสำคัญดังนี้
1. ก่อให้เกิดการวางแผนและเตรียมการล่วงหน้า
เป็นการนำเทคนิควิธีการสอน การเรียนรู้
สื่อเทคโนโลยี และจิตวิทยาการเรียนการสอนมาผสมผสานประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม กับสภาพแวดล้อมด้านต่างๆ
2. ส่งเสริมให้ครูผู้สอนค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับหลักสูตร
เทคนิคการเรียนการสอน
การเลือกใช้สื่อ
การวัดและการประเมินผลตลอดจนประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องจำเป็น
3.
เป็นคู่มือการสอนสำหรับตัวครูผู้สอนและครูที่สอนแทน
นำไปใช้ปฏิบัติการสอน
อย่างมั่นใจ
4.
เป็นหลักฐานแสดงข้อมูลด้านการเรียนการสอน
และการวัดประเมินผลที่เป็น
ประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนต่อไป
5. เป็นหลักฐานแสดงความเชี่ยวชาญของครูผู้สอน
ซึ่งสามารถนำไปเสนอเป็นผลงาน
ทางวิชาการได้
ณัฐวุฒิ กิจรุ่งเรือง และคณะ (2545 : 53) กล่าวว่า แผนการเรียนรู้ หมายถึง การเตรียมการจัดการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ
และเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการจัดการเรียนรู้ในรายวิชาใดวิชาหนึ่ง
ให้บรรลุผลตามจุดมุ่งหมายที่หลักสูตรกำหนด แผนการจัดการเรียนรู้มี 2 ระดับ ได้แก่
ระดับหน่วยการเรียน (Unit Plan) และระดับบทเรียน (Lesson Plan)
รุจิร์ ภู่สาระ (2545 : 159) ได้กล่าวไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการจัดการ
เรียนรู้เป็นเครื่องมือแนวทางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้ผู้เรียนตามที่กำหนดไว้ในสาระการ
เรียนรู้ของแต่ละกลุ่ม
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีต้องสามารถตอบคำถามได้ ดังนี้
1. ให้นักเรียนมีคุณสมบัติที่พึงประสงค์อะไรบ้าง
2.
จะเสริมสร้างกิจกรรมเพื่อพัฒนาผู้เรียนอะไรบ้าง
จึงจะทำให้นักเรียนบรรลุผล
ตามจุดประสงค์
3. ครูจะต้องมีบทบาทอย่างไรในการจัดกิจกรรม
4.
จะใช้สื่อ/อุปกรณ์อะไรจึงจะช่วยให้นักเรียนบรรลุจุดประสงค์
5. ได้อย่างไรว่านักเรียนเกิดคุณสมบัติตามที่คาดหวังไว้
สุวิทย์ มูลคำ และคณะ (2549 : 58) ได้กล่าวไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง
แผนการเตรียมการสอนหรือการกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบและจัดทำไว้
เป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีการรวบรวมข้อมูลต่าง
ๆมากำหนดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให้
ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
โดยเริ่มจากการกำหนดวัตถุประสงค์จะให้ผู้เรียนเกิดการ
เปลี่ยนแปลงด้านใด (สติปัญญา / เจตคติ / ทักษะ) จะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิธีใด ใช้สื่อ การสอนหรือแหล่งเรียนรู้ใด
และจะประเมินผลอย่างไร
สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง
แผนการหรือโครงสร้างที่จัดทำไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อการปฏิบัติการสอนในวิชาหนึ่ง
เป็นการเตรียมการสอนอย่างเป็นระบบ และเป็นเครื่องมือที่ช่วย
ให้ครูพัฒนาการจัดการเรียนการสอนไปสู่จุดมุ่งหมายการเรียนรู้
และจุดมุ่งหมายของหลักสูตร อย่างมีประสิทธิภาพ
สุวิทย์ มูลคำ
และคณะ (2549 : 58) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการจัดทำแผนการ
จัดการเรียนรู้ไว้ดังนี้
1. ทำให้เกิดการวางแผนวิธีสอนที่ดี
วิธีเรียนที่ดี ที่เกิดจากการผสมผสานความรู้
และจิตวิทยาการศึกษา
2.
ช่วยให้ครูผู้สอนมีเครื่องมือในการจัดการเรียนรู้ที่ทำไว้ล่วงหน้าด้วยตนเอง
และทำให้ครูมีความมั่นใจในการจัดการเรียนรู้ได้ตามเป้าหมาย
3.
ช่วยให้ครูผู้สอนทราบว่าการสอนของตนได้เดินไปในทิศทางใด
หรือทราบว่า
จะสอนอะไร ด้วยวิธีใด สอนทำไม สอนอย่างไร
จะใช้สื่อและแหล่งเรียนรู้อะไรและจะวัดและ
ประเมินผลอย่างไร
4. ส่งเสริมให้ครูผู้สอนใฝ่ศึกษาหาความรู้
ทั้งเรื่องหลักสูตร วิธีจัดการเรียนรู้
จะจัดหาและใช้สื่อ แหล่งเรียนรู้ ตลอดจนการวัดและประเมินผล
5.
ใช้เป็นคู่มือสำหรับครูที่มาสอน (จัดการเรียนรู้) แทนได้
6. แผนการจัดการเรียนรู้ที่นำไปใช้และพัฒนาแล้วจะเกิดประโยชน์ต่อวงการศึกษา
7. เป็นผลงานทางวิชาการที่แสดงถึงความชำนาญและความเชี่ยวชาญของครูผู้สอน
สำหรับประกอบการประเมินเพื่อขอเลื่อนตำแหน่งและวิทยฐานะครูให้สูงขึ้น
ประโยชน์ของการทำแผนการจัดการเรียนรู้
ณัฐวุฒิ กิจรุ่งเรือง และคณะ (2545 : 53 - 54) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการทำแผน
การจัดการเรียนรู้ไว้ดังนี้
1. เพื่อให้เห็นความต่อเนื่องของการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตร
2. เพื่อให้การจัดการเรียนรู้ได้สอดคล้องกับความถนัด
ความสนใจ และความ
ต้องการของผู้เรียน
3. เพื่อสามารถเตรียมวัสดุ
อุปกรณ์ และแหล่งเรียนรู้ให้พร้อมก่อนทำการสอนจริง
4. เพื่อให้ผู้สอนมีความมั่นใจเละเชื่อมั่นในการจัดการเรียนรู้
5. เพื่อให้เกิดการปรับปรุงวิธีการจัดการเรียนรู้จากข้อจำกัดที่พบ
6.
เพื่อให้ผู้อื่นสอนแทนได้ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น
7.
เพื่อเป็นหลักฐานสำหรับพิจารณาผลงานและคุณภาพในการปฏิบัติการสอน
8. เพื่อเป็นเครื่องบ่งชี้ความเป็นวิชาชีพของครูผู้สอน (แผนจัดการเรียนรู้เป็น
ลักษณะเฉพาะของวิชาชีพ)
ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี
ควรมีลักษณะดังนี้ (สุวิทย์ มูลคำ และคณะ. 2549 : 59)
1.
กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ไว้ชัดเจน (ในการสอนเรื่องนั้นๆ
ต้องการให้
ผู้เรียนเกิดคุณสมบัติอะไร หรือด้านใด)
2.
กำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนไว้ชัดเจน
และนำไปสู่ผลการเรียนรู้ตาม
จุดประสงค์ได้จริง (ระบุบทบาทของครูผู้สอนและผู้เรียนไว้อย่างชัดเจนว่าจะต้องทำอะไรจึงจะทำให้
การเรียนการสอนบรรลุผล)
3.
กำหนดสื่ออุปกรณ์และแหล่งเรียนรู้ไว้ชัดเจน (จะใช้สื่อ
อุปกรณ์หรือแหล่ง
เรียนรู้อะไรช่วยบ้าง และจะใช้อย่างไร)
4.
กำหนดวิธีวัดและประเมินผลไว้ชัดเจน (จะใช้วิธีการและเครื่องมือในการวัดและ
ประเมินผลใด เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้นั้น)
5.
ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ (ในกรณีที่มีปัญหาเมื่อมีการนำไปใช้
หรือไม่สามารถ
กำหนดการจัดการเรียนรู้ตามแผนนั้นได้ก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้
โดยไม่กระทบต่อ
การเรียนการสอนและผลการเรียนรู้
6.
มีความทันสมัย
ทันต่อเหตุการณ์ ความเคลื่อนไหวต่างๆ
และสอดคล้องกับ
สภาพที่เป็นจริงที่ผู้เรียนดำเนินชีวิตอยู่
7.
แปลความได้ตรงกัน
แผนการจัดการเรียนรู้ที่เขียนขึ้นจะต้องสื่อความหมายได้
ตรงกัน เขียนให้อ่านเข้าใจง่าย กรณีมีการสอนแทนหรือเผยแพร่
ผู้นำไปใช้สามารถเข้าใจและใช้ได้
ตรงตามจุดประสงค์ของผู้เขียนแผนการจัดการเรียนรู้
8.
มีการบูรณาการ
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี จะสะท้อนให้เห็นการบูรณาการแบบ
องค์รวมของเนื้อหาสาระความรู้และวิธีการจัดการเรียนรู้เข้าด้วยกัน
9.
มีการเชื่อมโยงความรู้ไปใช้อย่างต่อเนื่อง
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้นำความรู้
และประสบการณ์เดิมมาเชื่อมโยงกับความรู้และประสบการณ์ใหม่
และนำไปใช้ในชีวิตจริงกับการ
เรียนในเรื่องต่อไป
การจัดทำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ในการจัดทำแผนการเรียนรู้
ผู้สอนมีอิสระในการออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเองซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ
แต่อย่างไรก็ตามผู้สอนควรปฏิบัติตามนโยบายของโรงเรียนที่กำหนดรูปแบบไว้ว่าให้ใช้รูปแบบใด
หากโรงเรียนไม่ได้กำหนดรูปแบบไว้จึงเลือกแบบที่ตนเองเห็นว่า สะดวกต่อการนำไปใช้
ซึ่งสรุปขั้นตอนการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ ได้ดังนี้ (เอกรินทร์ สี่มหาศาล.
2545 : 441)
1. เลือกรูปแบบแผนการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้แผนนั้นๆ
2. ตั้งชื่อแผนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้แผนนั้นๆ
3. กำหนจำนวนเวลา
ระบุระดับชั้น และช่วงเวลาของหลักสูตรให้ชัดเจน
4. วิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ที่สอดคล้องและครอบคลุมกับผลการเรียนรู้
ที่คาดหวังรายปี/รายภาคที่กำหนดไว้
ลงมือเขียนเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้รายวิชา
5. เลือกจุดประสงค์การเรียนรู้ที่วิเคราะห์ตามข้อ
4 นำเฉพาะจุดประสงค์การเรียนรู้
หัวข้อเรื่อง และสาระการเรียนรู้ของแผนการจัดการเรียนรู้
เพื่อกำหนดเป็นจุดประสงค์ปลายทางตามธรรมชาติวิชาของแผนนั้นๆ
6. วิเคราะห์รายละเอียดสาระการเรียนรู้ของแผนการเรียน
เพื่อนำไปจัดการเรียนรู้ตามเนื้อหาสาระที่จำเป็นต้องสอน ให้ผู้เรียนเข้าใจ
และเป็นมวลเนื้อหาที่สำคัญหรือจำเป็นต่อการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ของหลักสูตร
7. กำหนดจุดประสงค์นำทางตามลำดับความยากง่ายของเนื้อหานั้นๆ
8. เลือกกิจกรรมการเรียนการสอนและเทคนิควิธีการสอนที่เหมาะสมกับเนื้อหาและสภาพของผู้เรียน
9. เลือกสื่ออุปกรณ์การเรียนการสอนที่จำเป็น
สำหรับใช้ประกอบการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับสาระการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในแผน
เช่น รูปภาพ บัตรคำ วีดิทัศน์
10.กำหนดขั้นตอนการจัดกิจกรรมเรียนรู้
โดยคำนึงถึงขั้นตอนการเรียนการสอนตามธรรมชาติวิชา ตามลำดับจุดประสงค์นำทาง
และควรคำนึงถึงการบูรณาการเทคนิควิธีการสอนกระบวนการเรียนรู้ทั้งสาระการเรียนรู้อื่น
ๆ ที่สอดคล้องกัน
เพื่อเชื่อมโยงเข้าไว้ในแต่ละขั้นตอนของการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้
11.กำหนดวิธีการวัดผลและประเมินผล โดยระบุเครื่องมือและวิธีการประเมินผลการเรียน
ทั้งที่เกิดขึ้นระหว่างเรียน ตามลำดับจุดประสงค์นำทางและที่เกิดขึ้นภายหลังการเรียนการสอน
ให้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวังตามหลักสูตร
ประสิทธิภาพของผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
การหาประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หมายถึง
การนำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ไปใช้ (Try – out) คือ นำการนำไปทดลองใช้ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้แล้วนำผลมาปรับปรุงแก้ไขและทดลองใช้จริง
(Trail Run) เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด
(ชัยยงค์ พรหมวงศ์ และคณะ. 2521 : 143)
การกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพ
เกณฑ์ประสิทธิภาพ
หมายถึง ระดับประสิทธิภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่จะช่วย
ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ หากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีประสิทธิภาพแล้ว
แผนการจัดการเรียนรู้นั้น มีคุณค่าที่จะนำไปสอนนักเรียนได้
การกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพกระทำได้โดยการประเมินผลพฤติกรรมของผู้เรียน 2 ประเภท คือ
พฤติกรรมต่อเนื่องและพฤติกรรมขั้นสุดท้าย โดยกำหนดค่าประสิทธิภาพเป็น E1 คือ ประสิทธิภาพของกระบวนการ E2 คือ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์
ซึ่งคิดเป็นร้อยละของผลเฉลี่ยของคะแนนที่ได้ ดังนั้น
E1/ E2 คือ
ประสิทธิภาพของกระบวนการ / ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ เช่น 80/80 หมายความว่า เมื่อเรียนจากแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แล้วผู้เรียนสามารถทำแบบฝึกหัดหรืองาน
ได้ผลเฉลี่ยร้อยละ 80 และทำแบบทดสอบหลังเรียนร้อยละ 80
โดยปกติเนื้อหาที่เป็นความรู้ความจำ มักจะตั้งไว้ 80/80 , 85/85 หรือ 90/90
ส่วนเนื้อหาที่เป็นทักษะมักจะต่ำกว่านี้ เช่น 75/75
การหาประสิทธิภาพของผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
การหาประสิทธิภาพของผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
หมายถึง การนำแผนการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ไปทดลองใช้ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้
แล้วนำผลที่ได้มาปรับปรุงเพื่อนำไปสอนจริงให้ได้ประสิทธิภาพตามเกณฑ์กำหนด
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2537 : 479 - 498)
ให้ความหมายของเกณฑ์ประสิทธิภาพผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
เกณฑ์การหาประสิทธิภาพ
หมายถึง ระดับประสิทธิภาพของแผนการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
เป็นระดับที่จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้จะพึงพอใจหากแผนการจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพถึงระดับนั้นแล้ว
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้นั้นก็จะมีคุณค่า ที่จะนำไปสอนนักเรียน
เกณฑ์การหาประสิทธิภาพ
กำหนดเป็นเกณฑ์ที่ผู้สอนคาดหมายว่าผู้เรียนจะเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เรียนทั้งหมด
ต่อเปอร์เซ็นต์ของผลการทดสอบหลังเรียนของผู้เรียนทั้งหมดนั้น คือ E1 / E2
คือประสิทธิภาพของกระบวนการ
ประสิทธิภาพของผลลัพธ์
การกำหนดเกณฑ์
E1 / E2 ให้มีค่าเท่าใด ให้ผู้สอนเป็นผู้พิจารณาตามความเข้าใจ
การหาประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
เมื่อพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้สูงขึ้นต้องนำไปหาประสิทธิภาพแล้วนำไปปรับปรุงแก้ไขตามขั้นตอน
ดังนี้
1.
ขั้น 1:1 (แบบเดี่ยว)
คือ นำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ไปทดลองใช้กับนักเรียน 6 – 10 คน คำนวณหาประสิทธิภาพแล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น
2.
ขั้น 1 : 10 (แบบกลุ่ม)
คือนำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ไปทดลองใช้กับนักเรียน 6 – 10 คน คำนวณหาประสิทธิภาพแล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น
3.
ขั้น 1 : 100
(ภาคสนามหรือกลุ่มใหญ่) คือ นำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ไปใช้กับนักเรียน 30 – 100 คน
คำนวณหาประสิทธิภาพแล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น
เกณฑ์ประสิทธิภาพมีหลายเกณฑ์ เช่น 75/75, 80/80, 90/90 จากการทดลอง ผลปรากฎว่า
เกณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับวิชาที่ให้ความรู้ความจำ คือ 85 วิชาทักษะทางภาษา คือ 80 (เพียรจิต พันธุ์โอภาส. 2541 : 34)
การหาประสิทธิภาพมีขั้นตอนการหาประสิทธิภาพ
ดังนี้ 1.
ทดลองกลุ่มที่ไม่ใช่ตัวอย่าง ทั้งกับเด็กอ่อน
ปานกลาง และเก่ง นำผลที่ได้คำนวณหาประสิทธิภาพเสร็จแล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น
ปกติคะแนนที่ได้จากการทดลองนี้จะมีค่าต่ำกว่าเกณฑ์มาก
2.
ทดลองสนาม คือ ทดลองกับนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง นำผลการทดลองที่ได้
คำนวณหาประสิทธิภาพแล้วปรับปรุงให้สมบูรณ์อีกครั้ง ผลลัพธ์ที่ได้ควรใกล้เคียงกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้
หากต่ำกว่าไม่เกินร้อยละ 2.5 ก็ยอมรับ
แต่ถ้าหากต่างกันมาก
ต้องปรับปรุงแผนการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ให้ได้ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ต่อไป
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
งานวิจัยภายในประเทศ
นรินทร์
กระพี้แดง (2542 : 63 - 82) ได้ทำการศึกษาผลของการเรียนร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์
ที่มีต่อทักษะการทำงานร่วมกันและสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง
ระบบประชาธิปไตย ในรายวิชา ส 402 สังคมศึกษา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน จังหวัดขอนแก่น จำนวน 59 คน ผลการวิจัย พบว่านักเรียนที่ได้รับ
การสอนโดยการเรียนร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนักเรียนที่ได้รับการสอนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ มีทักษะการทำงานร่วมกันสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการเรียนตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ปิยะฉัตร ขาวแก้ว (2542 : 53 - 74) ได้ทำการศึกษาผลของการเรียนร่วมมือ
โดยใช้เทคนิคจิกซอว์ที่มีต่อทักษะการทำงานงานร่วมกันและสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในรายวิชา
ส 306 ประเทศของเรา 4 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
3 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ อำเภอเมือง
จังหวัดอุดรธานี ผลการวิจัย พบว่า
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการสอน โดยการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอน แบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และทักษะการทำงานร่วมกันของนักเรียนที่ได้รับการสอนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
เยาวลักษณ์ พงศธรวิวัฒน์
(2547 : 36 - 61) ได้ศึกษาการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้
เรื่อง หลักฐานประวัติศาสตร์ในประเทศไทย วิชา
หลักฐานประวัติศาสตร์ในประเทศไทย ส 021
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนกระเทียมวิทยา อำเภอสังขะ
จังหวัดสุรินทร์ ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้
แบบร่วมมือ
จำนวน 60 คน
ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า
นักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้กิจกรรม
การเรียนรู้จิกซอว์
มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนแบบบรรยาย อย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
อารุณี บุญยืน (2547 : 27 - 51) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้แบบ
จิกซอว์ เรื่อง
ชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ สาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนท่าตูมประชาเสริมวิทย์ อำเภอท่าตูม
จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 40 คน
พบว่าแผนการจัดการเรียนรู้แบบจิกซอว์
ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 83.58/83.50 และมีค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้แบบจิกซอว์ คิดเป็นร้อยละ 77 โดยสรุปว่า
แผนการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นตามขั้นตอนอย่างมีระบบ
มีการวิเคราะห์หลักสูตร
สาระการเรียนรู้
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
มีกิจกรรมเป็นกระบวนการที่มีขั้นตอน
มีสื่อการเรียนรู้ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ประสบการณ์จากการเรียนรู้ด้วยตนเองแล้ว
ยังทำให้นักเรียนเกิดความก้าวหน้าทางด้านการเรียนรู้เพิ่มขึ้นด้วย
ณรงค์
สังข์มุรินทร์ (2549 : 36 - 55)
ได้ทำการวิจัยผลการจัดกิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิคจิกซอว์
ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 2 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดวิจิตรรังสรรค์
จังหวัดชัยนาท จำนวน 30 คนเป็นกลุ่มทดลอง และโรงเรียนวัดท่าโบสถ์
จังหวัดชัยนาท จำนวน 30 คน เป็นกลุ่มควบคุม ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา
ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนแบบจิกซอว์
สูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
และนักเรียนกลุ่มทดลองมีความคิดเห็นต่อการจัดกิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค จิกซอว์ในระดับมาก
ปฐมพงษ์ บานฤทัย (2549 : 80 – 108) ได้ศึกษาการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Jigsaw) เรื่อง
การเมืองการปกครองสมัยอยุธยา กลุ่มสาระสังคมศึกษา
ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 40 คน ผลการศึกษาพบว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เรื่อง การเมืองการปกครองสมัยอยุธยา
กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 93.25/91.42 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80/80 ค่าดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ 0.8884 แสดงว่านักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนสูงขึ้นร้อยละ 88.84 มีเจตคติด้านความรักชาติ
ความภูมิใจต่อชาติและการเมืองการปกครองสมัยอยุธยาซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากการศึกษาเรื่องการเมืองการปกครองสมัยอยุธยา
กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมโดยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด
กมล ขวัญคุ้ม (2550 : 44 - 76)
ได้ศึกษาการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Jigsaw) เรื่อง การเมืองการปกครองกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 42 คน ผลการศึกษาพบว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Jigsaw) เรื่อง การเมืองการ
ปกครอง
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประ
สิทธิภาพเท่ากับ 85.20/87.08 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้
ค่าดัชนีประสิทธิผลมีค่าเท่ากับ 0.8242 พฤติกรรมประชาธิปไตยของนักเรียนอยู่ในระดับดีมาก
วีณา บุญปัทม์ (2550 : 33 – 65)
ได้ศึกษาค้นคว้าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิกซอว์ เรื่องพัฒนาการของอาณาจักรสุโขทัยที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
และความพึงพอใจในการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 40 คน
ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิกซอว์
เรื่องพัฒนาการของอาณาจักรสุโขทัยมีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.41/89.42
และดัชนีประสิทธิผลมีค่าเท่ากับ 0.7589 หมายถึง
นักเรียนมีความก้าวหน้าในการเรียนคิดเป็นร้อยละ 75.89 และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความพอใจต่อผลการเรียนด้วยแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิกซอว์
โดยรวมและเป็นรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด
งานวิจัยต่างประเทศ
ฮอลิเดย์ (Holliday. 1966 : abstract) ได้ศึกษาผลของการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์
พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
และปฏิสัมพันธ์ร่วมกันที่มีความแตกต่างทางเชื้อชาติในโรงเรียนมัธยมศึกษาที่เรียนวิชาสังคมศึกษา
ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนที่เรียนโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง
มีปฎิสัมพันธิ์ทางการเรียนระหว่างกลุ่มดี
ซึ่งส่งผลถึงความสัมพันธ์ทางด้านเชื้อชาติ และรักเรียนมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียน
แมททิงลี , แวนซิคเคิล (Mattingly ; Vansickle. 1991 : abstract) ได้ทำการวิจัยการเรียนแบบร่วมมือ(จิกซอว์ 2)
และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาสังคมศึกษา โดยได้ทำการศึกษาวิจัยกับนักเรียนระดับ
9 จำนวน 2 ห้องเรียน ซึ่งผู้วิจัยได้สุ่มนักเรียนจำนวน 23 คน ให้ได้รับการสอนโดยการเรียนแบบร่วมมือ
(จิกซอว์ 2) และสุ่มนักเรียนอีก 22 คน ให้ได้รับการสอนแบบดั้งเดิม
ผลการวิจัยปรากฏว่านักเรียนที่เรียนแบบจิกซอว์
มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการสอนแบบดั้งเดิมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.05
สแตพกา
(Stepka.
1999 : p.109 - A)
ได้ศึกษาเปรียบเทียบการใช้วิธีการเรียนแบบจิกซอว์
กับวิธีเรียนแบบบรรยายในชั้นเรียนระดับอุดมศึกษาของวิทยาลัยชุมชนแห่งหนึ่ง
เพื่อศึกษาสิ่งที่เหมือนกันของวิธีการทั้งสองแบบ
และศึกษาว่ากลุ่มใดมีผลการปฎิบัติงานที่ดีกว่า
ผลปรากฏว่านักศึกษากลุ่มที่ใช้วิธีการเรียนแบบจิกซอว์
มีค่าคะแนนสูงกว่ากลุ่มที่ใช้วิธีการเรียนแบบบรรยาย
การประเมินทัศนคติเป็นรายบุคคลในมติกลุ่ม พบว่าการใช้วิธีการแบบจิกซอว์
มีทัศนคติเป็นไปในทางบวกมากกว่าการใช้วิธีการแบบบรรยาย
เฉิน (Chen. 2004 : 57 - A) ได้ทำการวิจัยเรื่องการศึกษาผลกระทบของวิธีการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางด้านวิชาการของนักเรียน
ในชั้นเรียนวิชาภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ ในวิทยาลัยแห่งหนึ่งของประเทศไต้หวัน การวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือ
2 แบบที่นำมาใช้กับกลุ่มทดลองคือ เทคนิคจิกซอว์และเทคนิค STAD ส่วนนักศึกษาในกลุ่มควบคุมที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการแบบปกติ ผลการวิจัยพบว่า
กลุ่มตัวอย่างของนักศึกษาในกลุ่มทดลองมีผลคะแนนสูงกว่ากลุ่มตัวอย่างของนักศึกษาในกลุ่มควบคุม
และกลุ่มตัวอย่างของนักศึกษาชายในกลุ่มที่ใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือ สามารถแสดงผลการปฏิบัติที่ดีขึ้นมากกว่ากลุ่มตัวอย่างของนักศึกษาชายในกลุ่มที่ใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบปกติ
เวง (Wang. 2006 : abstract) ได้ศึกษาผลกระทบของการใช้วิธีการสอนแบบร่วมมือ เทคนิคจิกซอว์
ที่มีต่อแรงจูงใจในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักศึกษาในสถาบันเทคโนโลยี Chung-Hwa Institute of Technology ประเทศไต้หวัน
โดยทำการศึกษาข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างของนักศึกษาในสาขาวิชาเอกการบริหารธุรกิจ
77 คนจำนวน 2 ชั้นเรียน
ชั้นเรียนหนึ่งใช้วิธีการสอนแบบร่วมมือเทคนิคจิกซอว์
อีกชั้นเรียนหนึ่งซึ่งใช้วิธีการสอนแบบเดิมตามปกติทั่ว ๆ ไป ผลการวิจัยพบว่า
นักศึกษาที่ผ่านการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบร่วมมือ
ปรากฏผลคะแนนจากแบบทดสอบปลายภาคในระดับที่สูงขึ้น และผลคะแนนรวมที่มากกว่านักศึกษาที่ผ่านการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบเดิมตามปกติทั่ว
ๆ ไป และพบว่า กลุ่มตัวอย่างของนักศึกษาที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนแบบร่วมมือ มีเจตคติในด้านบวกต่อการเรียนภาษาอังกฤษ
ซึ่งมีผลต่อการนำไปใช้ในการติดต่อสื่อสารกับคนที่ใช้ภาษาอังกฤษในการพูด
รวมทั้งยังมีเจตคติในด้านบวกต่อการเรียนรู้คำศัพท์ด้านการใช้เครื่องมือซึ่งเป็นภาษาอังกฤษมากกว่า นักศึกษาที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนแบบเดิมตามปกติทั่ว
ๆ ไป
บทที่ 3
วิธีดำเนินการวิจัย
การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยในชั้นเรียน
1. กลุ่มที่ศึกษา
กลุ่มที่ศึกษาเป็นนักศึกษา ชั้นปีที่ 3 โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือในวิชาการตลาดเพื่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2554 มีนักศึกษา จำนวน 21 คน
2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย
1) แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การสืบพันธุ์ของพืชดอก
ที่ใช้วิธีเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้เวลาเรียน 3 คาบต่อสัปดาห์ เป็นเวลา
3 สัปดาห์ รวมจำนวน 16 คาบ
2) แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก
แบบเลือกตอบจำนวน 20 ข้อ 3) แบบทดสอบย่อยแบบเลือกตอบในแต่ละหัวข้อ
4) แบบประเมินการนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียนของนักศึกษา
5) การสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ
6) แบบประเมินตนเองและเพื่อนในกลุ่มในการทำงานเป็นกลุ่ม
3. การเก็บรวบรวมข้อมูล
1. ก่อนการวิจัย ให้นักศึกษาแต่ละคนเขียนชื่อเพื่อนที่นักเรียนอยากทำงานร่วมด้วย
3 คน ลงในกระดาษที่ผู้วิจัยแจก เพื่อทำแผนภาพสังคมมิติ ศึกษาความสัมพันธ์ของนักศึกษาในห้องเรียนก่อนการเรียนแบบร่วมมือ
2. นักศึกษาประเมินตนเองและเพื่อนในกลุ่มเดิมก่อนการเรียนแบบร่วมมือ
ในแบบประเมินการทำงานกลุ่ม ซึ่งแบ่งเป็น 4 ด้าน ได้แก่ การช่วยเหลือกลุ่ม
ความรับผิดชอบ การแสดงความคิดเห็น และการรับฟังความ คิดเห็น โดยผู้ที่ได้คะแนนเฉลี่ยในช่วง
18-20 คะแนน ถือว่า มีส่วนร่วมในการทำงานกลุ่มดีมาก ผู้ที่ได้คะแนนรวม
เฉลี่ยในช่วง 15-17 คะแนน ถือว่า มีส่วนร่วมในการทำงานกลุ่มดี
และผู้ที่ได้คะแนนรวมเฉลี่ยในช่วง 12-14 คะแนน ถือว่า มีส่วนร่วมในการทำงานกลุ่มพอใช้
และผู้ที่ได้คะแนนรวมเฉลี่ยในช่วง 9-11 คะแนน ถือว่า ควรปรับปรุงการมี
ส่วนร่วมในการทำงานกลุ่ม (ดัดแปลงจาก
วรรณทิพา, 2538)
3. นักศึกษาทำแบบทดสอบก่อนเรียนเรื่องการตลาดเบื้องต้น
จำนวน 20 ข้อใช้เวลา 15 นาที
4. ผู้วิจัยดำเนินการสอนตามขั้นตอนต่อไปนี้
4.1 จัดทำคะแนนฐานของนักศึกษาแต่ละคน โดยเป็นคะแนนเฉลี่ยของนักศึกษาในการสอบกลางภาค
การสอบย่อยก่อนกลางภาค ที่ผ่านมา แล้วแบ่งกลุ่มนักศึกษากลุ่มละ 5 คน แบบคละเพศ และความสามารถ
4.2 จัดการเรียนการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ ที่ใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือโดยเน้นรูปแบบการต่อบทเรียน
(Jigsaw) และการศึกษาค้นคว้าเป็นกลุ่ม (Group Investigation)
โดยชี้แจงให้กลุ่มเข้าใจ เกี่ยวกับขั้นตอนการทำงาน เกณฑ์การประเมินผลงาน
และให้นักเรียนบอกถึงความสำคัญและวิธีการทำงานร่วมกัน
4.3 นำเสนอผลรายงานหน้าชั้นเรียนทั้งหมด 3 ครั้ง ซึ่งมีคะแนนรวมในแต่ละครั้ง
10 คะแนน หลังจากนักศึกษาแต่ละกลุ่มนำเสนองานหน้าชั้นเรียนผู้วิจัยให้คำแนะนำเพิ่มเติม
และนำอภิปรายเพื่อให้นักศึกษาสรุปความรู้จากการทำกิจกรรม
5. เมื่อสอนจบในหัวข้อต่างๆ ให้นักศึกษาทำแบบทดสอบย่อยท้ายคาบ
10 นาที ซึ่งแต่ละหัวข้อคะแนนเต็ม 10 คะแนน และนำคะแนนของนักศึกษาที่ได้มาเทียบเป็นคะแนนพัฒนาการ
(Improvement Points) ของแต่ละคน ซึ่งหาได้จากความแตกต่างระหว่างคะแนนฐาน
กับคะแนนที่นักเรียนสอบได้ในการทดสอบย่อย (ถ้าต่ำกว่าคะแนนฐานมากกว่า
3 คะแนน จะได้คะแนนพัฒนาการ 0 คะแนน ถ้าต่ำกว่าคะแนนฐานตั้งแต่
1-3 คะแนนจะได้คะแนนพัฒนาการ 10 คะแนน ถ้าได้เท่าคะแนนฐาน
ถึง มากกว่าคะแนนฐานตั้งแต่ 1-3 คะแนนจะได้คะแนนพัฒนาการ
20 คะแนน ถ้าได้มากกว่าคะแนนฐาน 3 คะแนนขึ้นไปจะได้คะแนนพัฒนาการ
30 คะแนน ถ้าได้คะแนนเต็มโดยไม่พิจารณาคะแนนฐาน จะได้คะแนนพัฒนาการ
30 คะแนน) ส่วนคะแนนของกลุ่ม ได้จากการรวมคะแนนพัฒนาการของนักเรียนทุกคนในกลุ่มเข้าด้วยกันแล้วหาค่าเฉลี่ย
(ดัดแปลงจาก วรรณทิพา, 2538)
6. สุ่มสัมภาษณ์นักศึกษาแต่ละกลุ่มอย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับการเรียน
และการทำงานกลุ่ม สัปดาห์ละ 1 ครั้ง รวม 3 ครั้ง
7. หลังจากผู้วิจัยสอนครบทุกหัวข้อ
นักศึกษาทำแบบทดสอบหลังเรียน ซึ่งเป็นแบบทดสอบชุดเดียวกับแบบทดสอบก่อนเรียน ใช้เวลา
15 นาที
4. การวิเคราะห์ข้อมูล
1. ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จากการสอบก่อนและหลังเรียนจะพิจารณาว่าจำนวนนักศึกษาผ่านเกณฑ์ร้อยละ
50 ของจำนวนข้อสอบทั้งหมดมีจำนวนเพิ่มขึ้นหรือไม่ และวิเคราะห์ค่าความแตกต่างระหว่างก่อนและหลังการเรียนแบบร่วมมือด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป
2. การปฏิบัติการทดลองและการนำเสนอผลงานหน้าชั้นของนักศึกษา
จะพิจารณาคะแนนรวมของนักศึกษาแต่ละกลุ่มว่ามีคะแนนสูงขึ้นหรือไม่
3. การทดสอบย่อยในแต่ละคาบเรียน
ใช้คะแนนพัฒนาการของนักศึกษา แต่ละคนเฉลี่ยเป็นคะแนนของกลุ่มว่ามีคะแนนสูงขึ้นหรือไม่
4. ด้านความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น
โดยการสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ ข้อมูลที่ได้เป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยอ่านข้อความที่บันทึกไว้แล้วจัดกลุ่มคำตอบ
5.ข้อมูลที่ได้จากแบบประเมินการมีส่วนร่วมในการทำงานกลุ่มก่อนและหลังการเรียนแบบร่วมมือ
ผู้วิจัยหาคะแนนเฉลี่ยรวมของนักศึกษาทุกคนในแต่ละด้าน แล้วนำคะแนนที่ได้มาพิจารณาในแต่ละด้านว่ามีคะแนนสูงขึ้นหรือไม่
6. ข้อมูลการเลือกเพื่อน
3 คน เพื่อทำงานด้วยทั้งก่อนและหลังการเรียนแบบร่วมมือ นำมาเขียน
แผนภาพสังคมมิติ เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนในห้องเรียนก่อนและหลังการเรียนแบบร่วมมือ
5. ผลและวิจารณ์
1.
ผลการวิจัยด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ผู้วิจัยแบ่งการนำเสนอผลการวิจัยด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอกออกเป็น 3ส่วน ดังนี้
1) คะแนนก่อนและหลังเรียน
2) คะแนนการการนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน
3) คะแนนพัฒนาการเฉลี่ยจากการทดสอบย่อย
1.1
คะแนนก่อนและหลังเรียน
Table 1 : Comparison of pretest and posttest
scores on “Reproduction of Flowering Plants”
** P < .01
จากตารางที่
1 แสดงให้เห็นว่า นักเรียนได้คะแนนทดสอบก่อนเรียนโดยเฉลี่ย
8.05 คะแนน และคะแนน
ทดสอบหลังเรียนโดยเฉลี่ย 13.26 คะแนน โดยมีจำนวนนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ
50 จำนวนเพิ่มขึ้นกว่าก่อนเรียนจาก 8 คนเป็น
43 คน ซึ่งคะแนนก่อนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.01
1.2
คะแนนปฏิบัติการทดลองและการนำเสนอผลงานของนักเรียน
จากการปฏิบัติการทดลองและการนำเสนอผลงานของนักเรียนเฉลี่ยท้ายคาบเรียน 6 ครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้งมีคะแนนเต็ม 10 คะแนน โดยแบ่งเป็นคะแนนจากการปฏิบัติการทดลอง 5 คะแนน
และคะแนนจากการนำเสนองานหน้าชั้นเรียน 5 คะแนน พบว่านักเรียนได้คะแนนในแต่ละครั้งสูงขึ้นตามลำดับดังนี้
7.89, 8.55, 8.67,9.00, 9.00, และ9.56 ผู้วิจัยพบว่าจากการประกาศคะแนนปฏิบัติการทดลองและการนำเสนอผลงานหน้าชั้นให้นักเรียนทราบ
พร้อมกับให้คำชมเชยกับกลุ่มที่มีคะแนนสูงสุด จึงทำให้นักเรียนมีการวางแผนการทำงานร่วมกันในกลุ่มมากขึ้น
ซึ่งสังเกตได้จาก การปฏิบัติการทดลองในแต่ละคาบ นักเรียนแต่ละกลุ่มปฏิบัติตามคำชี้แจงได้
Range of
scores
Below
50%
50-
59%
60-
69%
70-
79%
80%
Up
Total X S.D. t
Pretest 35 2 3 3 0 43 8.05 2.61
Posttest 0 1 18 18 6 43 13.26 2.28
-11.52**
ถูกต้อง ใช้เครื่องมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจัดเก็บอุปกรณ์ได้อย่างถูกวิธี
บันทึกผลการทดลอง และการนำเสนอข้อมูล ด้วยความพิถีพิถัน การวิเคราะห์ผลการทดลองและตีความหมายข้อมูล
ด้วยความมั่นใจและนำไปสู่ข้อสรุปที่เที่ยงตรง มีทักษะการเขียนรายงานที่ดีขึ้น โดยจัดลำดับหัวข้อรายงานด้วยความเป็นระเบียบ
และนักเรียนก็สามารถนำประเด็นสำคัญๆ มานำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียนได้อย่างครบถ้วนและพัฒนาขึ้นตามลำดับ
1.3
คะแนนการทดสอบย่อยเรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก
จากการสอบย่อยเรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอกทั้ง 6 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งจะมีคะแนนเต็ม 30 คะแนน พบว่าคะแนนพัฒนาการของทุกกลุ่มเฉลี่ยเท่ากับ 19.33, 19.00,
18.78, 19.22, 17.50 และ20.17 ตามลำดับ ผู้วิจัยพบว่าการประกาศคะแนนทดสอบย่อยในแต่ละครั้งให้นักเรียนทราบ
และหากนักเรียนได้คะแนนน้อยก็จะมีผลต่อคะแนนของกลุ่มด้วย ทำให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนในห้องเรียนมากยิ่งขึ้น
ซึ่งสังเกตได้จากการซักถามข้อสงสัยในชั้นเรียนมากขึ้น การศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลมาล่วงหน้า
การร่วมมือกันปฏิบัติการทดลองและรายงานผลการทดลอง นอกจากนี้เมื่อมีการนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียนนักเรียนจะตั้งใจฟังเพื่อน
ให้ข้อเสนอแนะต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ในห้อง และตั้งประเด็นอภิปรายที่ตนสงสัย
จึงทำให้นักเรียนมีคะแนนทดสอบในแต่ละหัวข้อโดยเฉลี่ยที่สูงขึ้นตามลำดับ
2. ผลการวิจัยด้านการทำงานร่วมกับผู้อื่น
ผู้วิจัยแบ่งการนำเสนอผลการวิจัยด้านการทำงานร่วมกับผู้อื่นออกเป็น 3 ด้านดังนี้ 1) สังคมมิติของนักเรียนก่อนวิจัยและหลังการวิจัย
2) ผลการประเมินตนเองและเพื่อนในการทำงานเป็นกลุ่ม 3) ผลการสำรวจเจตคติต่อการเรียนแบบร่วมมือโดยการสัมภาษณ์
2.1
สังคมมิติของนักเรียนก่อนและหลังการเรียนแบบร่วมมือ
จากการเขียนแผนภาพสังคมมิติแสดงการเลือกเพื่อนทำงานด้วยก่อนการเรียนแบบร่วมมือ
พบว่า โครงสร้างทางสังคมในห้องนี้แบ่งเป็นกลุ่มย่อย
9 กลุ่ม มีลักษณะคล้ายกับการนั่งเรียนในห้องเรียนตามกลุ่มเพื่อนที่ตนสนิท
จากการสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการพบว่า ผู้ที่มีเพื่อนนิยมมากจะเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนอยู่ในระดับดีมาก
มีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับคนอื่นได้ง่าย และช่วยเหลือกิจกรรมของชั้นเรียนอยู่เสมอ ส่วนนักเรียนที่ไม่ถูกผู้อื่นเลือกเลยจำนวน
1 คนนั้นเป็นนักเรียนที่เพิ่งย้ายมาเรียนใหม่ และถูกผู้ปกครองบังคับให้เรียนในสาขาที่ตนไม่ชอบจึงขาดเรียนบ่อย
ไม่ค่อยมีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย และไม่ค่อยพูดคุยกับเพื่อนในห้องส่วนแผนภาพสังคมมิติแสดงการเลือกเพื่อนทำงานด้วยหลังการเรียนแบบร่วมมือ
พบว่า โครงสร้างทางสังคมในห้องนี้มีความสัมพันธ์กันดีขึ้นกว่าก่อนการเรียนแบบร่วมมือ
เนื่องจากมีลักษณะการเลือกเพื่อนมีลักษณะกระจาย ซึ่งมีการเลือกเพื่อนต่างกลุ่มมาทำการทดลองมากขึ้น
ไม่ใช่มีลักษณะเลือกกลุ่มเพื่อนสนิทเหมือนก่อนการเรียนแบบร่วมมือ แสดงว่านักเรียนเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดีขึ้น
แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีผู้ไม่ถูกเพื่อนเลือกเลยมีจำนวน 3 คน เนื่องจากผู้ที่ไม่ถูกเลือกในครั้งนี้
ถูกจัดกลุ่มแยกกับเพื่อนที่ตนสนิท และไม่สามารถปรับตัวเข้ากับเพื่อนกลุ่มใหม่และวิธีการเรียนแบบร่วมมือได้
แต่โดยรวมนักเรียนในห้องนี้มีความสัมพันธ์กันดีขึ้น ทั้งเพศชายและเพศหญิงสามารถทำงานร่วมกันได้
และมีผู้ที่ได้รับความนิยมจากเพื่อนมากมีจำนวนเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักเรียน มีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ดี
จึงสร้างความประทับใจให้เพื่อนร่วมงานที่ตนไม่เคยสนิทมาก่อน จึงได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น
ส่วนผู้ไม่ถูกเลือกเลยจากครั้งก่อนการเรียนแบบร่วมมือนั้น สามารถปรับตัวและทำงานร่วมกับผู้อื่นได้มากยิ่งขึ้น
เพื่อนจึงเลือกให้เข้าทำงานกลุ่มในที่สุด
2.2 ผลการประเมินตนเองและเพื่อนในกลุ่มในการทำงานเป็นกลุ่ม
Table 2 : Comparison of pretest and posttest scores of self and peer
evaluation in working groups
จากตารางที่
2 แสดงให้เห็นว่าก่อนการเรียนแบบร่วมมือนักเรียนมีคะแนนรวมจากการประเมินตนเองและเพื่อนในกลุ่มทุกๆด้านเฉลี่ยเท่ากับ
18.65 และหลังจากเรียนแบบร่วมมือแล้วกลับไปทำงานร่วมกับเพื่อนกลุ่มเดิมพบว่า
นักเรียนมีคะแนนรวมจากการประเมินตนเองและเพื่อนในกลุ่มทุกๆด้านเฉลี่ยเท่ากับ
19.91 ซึ่งเพิ่มขึ้นในทุกๆด้าน แสดงว่านักเรียนได้เรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่นจากเพื่อนกลุ่มใหม่ที่ผู้วิจัยจัดให้
และนำมาปรับใช้กับการทำงานร่วมกับเพื่อนกลุ่มเดิมได้ดีขึ้นและอยู่ในเกณฑ์ดีมาก
2.3
ผลการสำรวจเจตคติต่อการเรียนแบบร่วมมือโดยการสัมภาษณ์
จากการสุ่มสัมภาษณ์นักเรียนแต่ละกลุ่มอย่างไม่เป็นทางการ
พบว่านักเรียนพอใจกับวิธีการเรียนแบบร่วมมือ ซึ่งมีกิจกรรมที่สนุกมากกว่าการเรียนแบบเดิมตามหนังสือ
หากไม่เข้าใจเนื้อหาตรงไหนก็สามารถสอบถามจากเพื่อนผู้รู้ และได้คำตอบที่เข้าใจง่าย
นอกจากนี้ยังมีการทดสอบท้ายคาบเรียน ถ้าไม่ตั้งใจเรียนก็จะทำให้คะแนนของกลุ่มไม่ดี
การเรียนแบบนี้ยังช่วยให้การทำงานต่างๆเป็นไปอย่างมีระบบ คือ มีการมอบหมายงานที่ชัดเจนมากขึ้นทำให้งานในกลุ่มสำเร็จตามเวลาที่กำหนด
และเป็นการสอนที่ฝึกทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี
แต่ถึงอย่างไรนักเรียนบางคน ยังคงชอบการจัดการเรียนการสอนแบบเดิม เพราะคิดว่าการเรียนแบบร่วมมือนั้นใช้เวลามาก
ส่วนการเรียนแบบเดิมนั้นอาจารย์จะคอยอธิบายประเด็นสำคัญๆ ทำให้ได้รับเนื้อหาครบถ้วนและถูกต้องกว่า
สรุป
จากผลการวิจัยดังกล่าวสามารถสรุปได้ว่า การจัดการเรียนแบบร่วมมือสามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนในวิชาชีววิทยา เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก
ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สอดคล้องกับงานวิจัยของดาวคลี่
(2543) ที่ศึกษาเปรียบเทียบการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 ในกรุงเทพมหานคร ที่เรียนจากการประยุกต์รูปแบบการเรียนแบบร่วมมือกับการเรียนแบบปกติ
พบว่า นักเรียนมีทักษะกระบวนการคิด มีความรับผิดชอบ มีทักษะกระบวนการกลุ่ม และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าการเรียนแบบปกติ
ส่วนแพรวพรรณ์ (2544) ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์
ทักษะความร่วมมือในการทำงาน และสภาพแวดล้อมในการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่3
ในจังหวัดนครราชสีมา ที่สอนด้วยการเรียนแบบร่วมมือพบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
มีเจตคติต่อเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์สูงกว่าก่อนเรียนและสอบผ่านเกณฑ์ที่กำหนดจำนวนมากกว่าก่อนเรียน
Back (1993 อ้างถึงใน สุวิมล, 2542) ที่สังเคราะห์งานวิจัยเกี่ยวกับกิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือจำนวน
73 เรื่อง พบว่าการเรียนแบบร่วมมือช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์
scores
|
Participation
( 5 points)
|
Responsibility
( 5 points)
|
Sharing the
ideas altogether
( 5 points)
|
Acceptance of ideas of others
( 5 points)
|
Total
( 20 points)
|
|||||
X
|
S.D
|
X
|
S.D.
|
X
|
S.D.
|
X
|
S.D.
|
X
|
S.D.
|
|
Pretest
|
4.69
|
0.82
|
4.60
|
0.84
|
4.70
|
0.75
|
4.67
|
0.75
|
18.65
|
3.09
|
Posttest
|
4.99
|
4.26
|
4.96
|
9.00
|
4.97
|
5.88
|
4.99
|
5.16
|
19.91
|
19.47
|
ทางการเรียนของนักศึกษา และมีประสิทธิภาพมาก ส่วน Theodora De Baz (2001) ได้ศึกษาผลของการเรียนแบบร่วมมือรูปแบบการต่อบทเรียน
(Jigsaw) ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทัศนคติทางการเรียนการสอน โดยเปรียบเทียบกับการสอนแบบดั้งเดิมของนักศึกษา
ในประเทศจอร์แดนเรื่องสิ่งมีชีวิต พบว่านักเรียนที่เรียนแบบร่วมมือมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนแบบดั้งเดิม
นอกจากนี้การเรียนแบบร่วมมือยังเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถเพิ่มทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น
โดยกระตุ้นให้นักศึกษา มีการช่วยเหลือกลุ่มอย่างเต็มความสามารถ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
แสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มด้วยเหตุผล และรับฟังความคิดเห็นด้วยใจที่เป็นกลางดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดสอดคล้องกับวรรณทิพา (2538); Johnson, Johnson and Hobulec (1991); Slavin (1995) ที่พบว่าการเรียนแบบร่วมมือ สามารถกระตุ้นให้นักศึกษามีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
และพัฒนาทักษะทางสังคมและทักษะการร่วมมือในช่วยกันทำงานจนงานสำเร็จข้อเสนอแนะสำหรับอาจารย์ผู้สอน
1. ผู้สอนควรอธิบายขั้นตอนต่างๆ
ในการจัดการเรียนแบบร่วมมือให้ชัดเจนก่อนให้นักศึกษาลงมือทำ เพื่อนักศึกษาจะได้วางแผนการทำงานในกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ผู้สอนควรควบคุมการจัดการเรียนการสอนให้อยู่ในเวลาที่กำหนด
3. ผู้สอนควรกระตุ้นให้นักศึกษา
ศึกษาค้นคว้าเนื้อหามาก่อนล่วงหน้า เพื่อที่จะทำความเข้าใจเนื้อหาที่เรียนในห้องได้ง่ายขึ้น
เอกสารอ้างอิง
ดาวคลี่ ศิริวาลย์. 2543.
ผลการเรียนรู้ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนจากการประยุกต์ รูปแบบการเรียนแบบร่วมมือ. กรุงเทพฯ : วิทยานิพนธ์ปริญญาโท, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
แพรวพรรณ์ พฤกษ์ศรีรัตน์. 2544.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ศึกษาความร่วมมือใน
การทำงานและสภาพแวดล้อมในการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่สอนด้วยการเรียนแบบร่วมมือ. กรุงเทพฯ : วิทยานิพนธ์ปริญญาโท,
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
วรรณทิพา รอดแรงค้า. 2538. การเรียนแบบร่วมมือ. สาระการศึกษา. กองทุนศาสตราจารย์ ดร.อุบล เรียงสุวรรณ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
สุวิมล เขี้ยวแก้ว สุเทพ สันติวรานนท์ และอุสมาน
สารี. 2542. ผลของการเรียนแบบร่วมมือต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีของนักเรียนในโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้. วารสารสงขลานครินทร์ ฉบับสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ 5 (1) : 76-93.
Johnson, D.W., Johnson, R.T. and Hobulec,
E.J. 1991. Cooperation
in Classroom. Minnesota
: Interaction Book Company.
Slavin, R.E. 1985. Cooperative
Learning Theory, Research and Pratice. 2 nd
ed. Massachusetts
: A Simon & Schuster Company.
Theodora De Baz. 2001. The
Effectiveness of the Jigsaw Cooperative Learning on
Students’Achievement
and Attitudes toward Science. Science
Education International 12
6-11
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น